การกำหนดความต้องการและการจัดทำอัตราวัสดุ
การกำหนดความต้องการ
การกำหนดความต้องการพัสดุนั้นมีวัตถุประสงค์เพื่อที่จะหาปริมาณพัสดุทั้งหมดที่จะต้องใช้ในระยะเวลา 1 ปีงบประมาณ โดยต้องตระหนักถึงกฎเกณฑ์ที่สำคัญ คือ“ผลของงานที่เกิดขึ้นจากการใช้เงินนั้น ต้องเป็นไปตามเป้าหมาย” สำหรับภาครัฐบาลนั้นการวางแผนการใช้เงินนั้น ซึ่งเรียกว่า “การจัดทำงบประมาณรายจ่าย” นั้น ต้องกระทำล่วงหน้าเป็นเวลาเกือบ 2 ปี ก่อนการใช้เงินจริง
ความสัมพันธ์ระหว่างการกำหนดความต้องการกับการควบคุมการจัดพัสดุ
ในการบริหารงานพัสดุระบบการควบคุมพัสดุ เป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งในการปฏิบัติงานโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องการควบคุมพัสดุนั้น การควบคุมแบ่งออกเป็น 2 เรื่อง คือ
การควบคุมทางบัญชี ( Stock control )
และการควบคุมการจัดสนอง ( Supply control )
ซึ่งการกำหนดความต้องการ คือ งานของการควบคุมการจัดสนอง โดยจัดให้มีปริมาณพัสดุเท่าที่จำเป็นมากหรือน้อยเกินไป
ข้อมูลของการกำหนดความต้องการ
เพื่อช่วยในการแก้ข้อผิดพลาดต่าง ๆ หรือเพื่อให้ผิดพลาดน้อยที่สุด โดยปกติแผนแบ่งออกเป็น 3 ระยะ คือ แผนระยะยาว แผนระยะปานกลาง แผนระยะสั้น แผนที่นำมาใช้ในการกำหนดความต้องการ มักเป็นแผนระยะปานกลางและแผนระยะสั้น เนื่องจากเป็นแผนที่มีการผิดพลาดน้อยที่สุด
วิธีควบคุมพัสดุทางบัญชีเป็นเครื่องมือสำคัญยิ่งในการเก็บข้อมูลต่างๆ สำหรับเป็นฐานในการประมาณการความต้องการพัสดุและงบประมาณ ในการคำนวณวามต้องการพัสดุข้อมูลฐานนั้น จะต้องอาศัยตัวเลขในบัตรบัญชีคุมพัสดุมากมาย รวมทั้งสถิติต่างๆ
ตัวเลขในบัตรบัญชีคุมพัสดุ และสถิติต่างๆ
1. ยอดคงคลัง คือ ยอดพัสดุที่เหลืออยู่ในวันที่คำนวณความต้องการพัสดุ เพื่อนำมาหักออกจากความต้องการที่คำนวณไว้ได้
2. ยอดค้างรับ คือ จำนวนพัสดุที่ยังอยู่ในระหว่างมีการจัดหา พัสดุจำนวนนี้จึงเหมือนเป็นยอดพัสดุที่ยังเหลืออยู่ซึ่งจะต้องนำมาหักออกจากความต้องการที่คิดได้
3. ยอดค้างจ่าย คือ จำนวนพัสดุที่ไม่สามารถที่จะจ่ายออกไปได้ตามที่เกิดความต้องการจึงเป็นจำนวนที่จะต้องเอามาผูกพันกับความต้องการที่คิดได้
4. สถิติความต้องการ ทั้งความต้องการประจำ และความต้องการครั้งคราว เพื่อนำมาคิดหาอัตราการใช้สิ้นเปลือง
5. สถิติรายจ่ายจริง เพื่อนำมาประกอบการพิจารณาหาความต้องการที่เป็นจริงอย่างมีเหตุมีผล
6. อัตราต่าง ๆ เป็นสิ่งสำคัญ เพราะในการจัดงานพัสดุเริ่มแรกนั้นไม่สามารถจะหาข้อมูลหรือสถิติอะไรได้ จึงจำเป็นต้องกำหนดความต้องการพัสดุต่าง ๆ ไว้ในอัตราในรูปแบบต่าง ๆ
6.1 อัตราครุภัณฑ์ จะเป็นตัวกำหนดความต้องการเริ่มแรกตามความจำเป็นต่อภารกิจ และหน้าที่ของหน่วยงานนั้น
6.2 อัตราวัสดุ ก็เช่นเดียวกับอัตราครุภัณฑ์แต่จะทำแยกจากอัตราครุภัณฑ์ เพราะจำนวนความต้องการวัสดุไม่แน่นอนเปลี่ยนแปลงได้
6.3 อัตราสิ้นส่วนซ่อม หน่วยงานที่ทำหน้าที่บำรุงรักษาพัสดุ จำเป็นต้องมีชิ้นส่วนซ่อมไว้ใช้งานขั้นต้น
จุดประสงค์หลักของระบบ MRP (Material requirement planning)
1. ทำให้เกิดความมั่นใจว่าจะมีสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ไว้ใช้อย่างเพียงพอ
2. ทำให้มีการคงไว้ ซึ่งระดับการคงคลังในปริมาณที่ต่ำสุดตลอดเวลา
3. เพื่อการวางแผนการผลิต ตารางการจัดส่งและการจัดซื้อ
วิธีการกำหนดความต้องการพัสดุ
1. วิธีการกำหนดความต้องการครุภัณฑ์
1.1 ความต้องการขั้นต้นการกำหนดความต้องการขั้นต้นของครุภัณฑ์จะต้องเน้นแต่ละรายการไป
1.1.1 การจัดหน่วยงานให้เป็นมาตรฐาน ตัวอย่าง เช่น โรงพยาบาลชุมชนมีการจัดหน่วยงานเป็นมาตรฐานไว้ 3 แบบ คือ โรงพยาบาลขนาด 10 เตียง 30 เตียง และ 60 เตียง เป็นต้น
1.1.2 การกำหนดมาตรฐานของพัสดุ ทั้งนี้เพื่อลดจำนวนรายการครุภัณฑ์ให้น้อยลง เพื่อเป็นการประหยัดเวลา และง่ายในการจัดงานด้านอื่นด้วย เช่น เตียงคนไข้ มีมาตรฐาน 2 แบบ ได้แก่ เตียงเหล็กสปริงเอนได้ กับเตียงเหล็กธรรมดา เป็นต้น
สูตรการคำนวณความต้องการขั้นต้น
ความต้องการขั้นต้น = จำนวนหน่วยงาน * อัตราครุภัณฑ์
ตัวอย่าง โรงงานแห่งหนึ่งมีเครื่องเชื่อมใช้อยู่ทั้งสิ้น 300 เครื่อง จะขยายบริษัทโดยเพิ่มแผนกใหม่อีก 4 แผนก เป็นแผนกที่มีอัตราครุภัณฑ์ เครื่องเชื่อม แผนกละ 5 เครื่อง สามารถคำนวณความต้องการขั้นต้นได้ดังนี้
ความต้องการขั้นต้นของแผนกเดิม = 300 เครื่อง
ความต้องการขั้นต้นของแผนกใหม่ = 4 (แผนก) * 5 (เครื่องเชื่อม)
= 20 เครื่อง
รวมความต้องการขั้นต้น = 300 + 20 เครื่อง
= 320 เครื่อง
1.2 ความต้องการทดแทน
ความต้องการทดแทนเป็นการคิดจำนวนครุภัณฑ์ที่จะมาชดเชยกับจำนวนครุภัณฑ์ที่เคยได้รับไปแล้ว แต่หมดสภาพการใช้งานอันเนื่องมาจากการชำรุดสึกหรอ จากการใช้งาน การสูญหาย การถูกทำลาย หรือจากสาเหตุอื่นใดก็ตาม คำนวณหา “ปัจจัยทดแทน” ซึ่งหมายถึงค่าทศนิยมของความสิ้นเปลืองต่อช่วงเวลาหนึ่ง การคิดค่าของปัจจัยทดแทนได้ด้วยการเอาจำนวนความต้องการทดแทนที่แล้วมาหารด้วย จำนวนครุภัณฑ์ที่ใช้อยู่ช่วงเวลานั้นแล้วหารด้วยระยะเวลา
1.3 ความต้องการสำรอง
การหาความต้องการสำรอง คือ การคำนวณจำนวนครุภัณฑ์ที่เผื่อเอาไว้ใช้ในกรณีจำเป็นและแก้ปัญหาต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นได้จากสาเหตุต่อไปนี้
1 ปัจจัยทดแทน
2 ระยะเวลาในการจัดหาครุภัณฑ์
3 สภาพและเหตุการณ์ในการปฏิบัติงานนั้น ๆ มีผลบังคับให้ผิดพลาด
สูตรของการคำนวณความต้องการสำรอง
ความต้องการสำรอง = จำนวนความต้องการขั้นต้น * อัตราสำรอง
สมมุติว่าโรงงานแห่งนี้มีอัตราสำรองเท่ากับ 0.1 ดังนั้นความต้องสำรองจะเป็นดังนี้
ความต้องการสำรอง = 320 * 0.05
= 16 เครื่อง
ความต้องการชดเชยเวลาการจัดหา
การคำนวณหาจำนวนความต้องการครุภัณฑ์ที่จะต้องมาชดเชยกับจำนวนสูญเสียที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาการจัดหา เช่น การจัดหาครุภัณฑ์ทั่วไป ใช้เวลาการจัดหา 6 เดือน ครุภัณฑ์ที่มีความสำคัญใช้เวลาการจัดหา 1 ปี ระยะเวลาในการจัดหาจะต้องแปลงเป็นค่าทศนิยมของปี ดังนั้น ระยะเวลาการจัดหา 6 เดือน เท่ากับ 0.5 ระยะเวลาจัดหา 1 ปี เท่ากับ 1.0
สูตรการคำนวณความต้องการชดเชยเวลาในการจัดหา
ความต้องการชดเชยเวลาจัดหา = จำนวนความต้องการขั้นต้น
* ปัจจัยทดแทนต่อปี * ระยะเวลาในการจัดหา
ตัวอย่าง โรงงานแห่งหนึ่ง มีเครื่องเชื่อมอยู่ในครอบครองทั้งสิ้น 300 เครื่อง ปัจจัยทดแทนเท่ากับ 0.04 ระยะเวลาในการจัดหาเท่ากับ 3 เดือน จะได้รับค่าความต้องการชดเชย คือ
ความต้องการชดเชยเวลาจัดหา = 300 * 0.04 * 0.25
= 3 เครื่อง (คอมพิวเตอร์)
ความต้องการพิเศษ
จำนวนที่พัสดุตามโครงการหรือหน้าที่ ต่าง ๆ ที่ได้รับมอบหมายเป็นพิเศษนอกเหนือภารกิจประจำ
ดังนั้น อาจจะมีหรือไม่มีก็ได้ ถ้ามีความต้องการครุภัณฑ์ประเภทนี้เกิดขึ้น เมื่อเสร็จโครงการพิเศษหรือหน้าที่พิเศษ ครุภัณฑ์เหล่านี้จะต้องนำส่งคืนเพื่อนำไปแจกจ่ายใหม่ต่อไป
สูตรการคำนวณความต้องการพิเศษ
ความต้องการพิเศษ = จำนวนหน่วยงานที่ต้องปฏิบัติงานเป็นพิเศษ * จำนวนครุภัณฑ์ที่อนุมัติต่อหน่วยงานนั้น
ตัวอย่าง โรงงานแห่งหนึ่ง จัดแผนกที่ต้องปฏิบัติภารกิจพิเศษ จำนวน 5 แผนกโดยใช้เครื่องเชื่อมเป็นพิเศษอีกแผนกละ 2 เครื่อง จะได้ค่าความต้องการพิเศษ คือ
ความต้องการพิเศษ = 5 * 2
= 10 เครื่อง
ความต้องการรวมและความต้องการสุทธิ
ความต้องการรวม คือ ผลรวมของจำนวนความต้องการครุภัณฑ์ทุกประเภท สามารถหาได้จากสูตร
ความต้องการรวม = ความต้องการขั้นต้น + ทดแทน + สำรอง
+ จำนวนชดเชยของการจัดหา + พิเศษ
จากค่าความต้องการทุกประเภทที่คำนวณได้ข้างต้น จะได้ค่าความต้องการรวม
= 320 + 13 + 16 + 3 + 10
= 362 เครื่อง
ความต้องการสุทธิ คือ จำนวนความต้องการจริงที่เกิดขึ้นในอนาคตหรือในช่วงปีงบประมาณต่อไป ดังสูตร
ความต้องการสุทธิ = ความต้องการรวม – ยอดรวมครุภัณฑ์
ยอดรวมครุภัณฑ์เท่ากับครุภัณฑ์ในปัจจุบันกับครุภัณฑ์ที่มีอยู่ในระหว่างการจัดหา ดังสูตร
ยอดรวมครุภัณฑ์ = คงคลัง – ค้างรับ + ค้างจ่าย
สมมุติว่าบริษัทแห่งนี้ไม่มียอดค้างรับและค้างจ่าย
กรณียอดรวมครุภัณฑ์ = 300 – 0 + 0 = 300 ดังนั้นความต้องการสุทธิ คือ
ความต้องการสุทธิ = ความต้องการรวม – ยอดรวมครุภัณฑ์
= 362 – 300
= 62 เครื่อง
เครื่องเชื่อมจำนวน 62 เครื่องนี้คือ ประมาณการความต้องการของเครื่องเชื่อมในการที่จะปฏิบัติงานตามแผนงานที่วางไว้
เมื่อได้ความต้องการแล้วจะสามารถประมาณการรายจ่ายสำหรับครุภัณฑ์เฉพาะรายการนี้ได้โดย
งบประมาณ = ความต้องการสุทธิ * ราคาต่อหน่วย
สมมติว่าราคาเครื่องเชื่อมเครื่องละ 12,000 บาท
= 62 * 12,000
= 774,000 บาท
วิธีการกำหนดความต้องการวัสดุ
วัตถุประสงค์ในการกำหนดหรือคำนวณความต้องการวัสดุ ก็เพื่อต้องการทราบว่าควรจะมีรายการวัสดุอะไรบ้าง จำนวนในแต่ละรายการเท่าใดที่ควรจะสะสมไว้ในคงคลังเพื่อแจกจ่ายให้หน่วยงานภายในองค์การใช้ปฏิบัติหน้าที่เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่วางไว้รายการวัสดุส่วนมากเป็นพัสดุประเภทรองย่อยและมีมูลค่าต่ำ ดังนั้น การพิจารณาการวิเคราะห์และการคิดคำนวณความต้องการก็ไม่พิถีพิถัน หรือต้องการรายละเอียดมากนัก เป็นการประมาณอย่างหยาบ ๆ เท่านั้น ส่วนการคำนวณหาความต้องการวัสดุที่ค่าความต้องการไม่คงที่ คิดตามข้อมูลความต้องการที่ผ่านมา
วิธีคำนวณความต้องการวัสดุค่าความต้องการคงที่หรือวิธีการคิดตามอัตราอนุมัติ
ตัวอย่าง โรงงานแห่งหนึ่งมีการจัดแผนกเป็นมาตรฐาน 3 แบบ คือ แผนกแบบ ก. จำนวน 10 แผนก แผนกแบบ ข. จำนวน 20 แผนก แผนกแบบ ค. จำนวน 30 แผนก และในปีงบประมาณต่อไปนี้มีการจัดตั้งแผนกแบบ ค. เพิ่มขึ้นอีก 2 แผนก
อัตราอนุมัติกำหนดให้แผนกต่าง ๆ มีน้ำมันเชื้อเพลิง ดังนี้
แผนกแบบ ก. 200 ลิตรต่อเดือน
แผนกแบบ ข. 400 ลิตรต่อเดือน
แผนกแบบ ค. 100 ลิตรต่อเดือน
ราคาน้ำมันหล่อลื่น 30 บาทต่อถัง
เวลาที่ใช้ในการจัดหา 2 เดือน
โรงงานนี้มีโครงการที่จะฝึกอบรมเจ้าหน้าที่โดยให้แผนก ก. เป็นผู้รับผิดชอบ และต้องใช้น้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อโครงการนี้ 50 ลิตร คลังพัสดุจะต้องมีน้ำมันเชื้อเพลิงสำรองไว้ร้อยละ 25 ยอดคงคลังในวันที่คิดความต้องการ จำนวน 1,000 ลิตร
จากตัวอย่างข้างต้นจะเห็นว่าอัตราอนุมัติกำหนดระยะเวลาให้เป็นเดือนทั้งสิ้น ดังนั้นก่อนแทนค่าอัตราอนุมัติลงในสูตรการหาความต้องการประเภทใดก็ตาม จำเป็นต้องคูณด้วย 12 (เดือน) เพื่อให้ได้อัตราพัสดุต่อปี เพื่อประโยชน์ในการจัดทำงบประมาณ
จากสูตรคำนวณหาความต้องการขั้นต้นได้ดังนี้
ความต้องการขั้นต้น = จำนวนหน่วยงาน * อัตราวัสดุ
ความต้องการขั้นต้น = 2 * (100 * 12)
= 2,400 ลิตร
การกำหนดความต้องการทดแทน
การคิดจำนวนวัสดุที่จะมาชดเชยกับจำนวนที่เคยได้รับแล้ว แต่ได้ใช้สิ้นเปลืองหรือเปลี่ยนสภาพไปหมดแล้ว การคำนวณความต้องการทดแทนจึงใช้ข้อมูลเดิมของหน่วยงานเดิมทั้งหมด
ความต้องการทดแทน = แผนก * อัตราอนุมัติ (ทั้งปี)
แผนก ก. = 10 * (200 *12)
= 24,000 ลิตร
แผนก ข. = 20 * (400 *12)
= 96,000 ลิตร
แผนก ค. = 30 * (100 *12)
= 36,000 ลิตร
รวมความต้องการทดแทน = 24,000 + 96,000 + 36,000
= 156,000 ลิตร
การกำหนดความต้องการสำรอง
การคำนวณจำนวนวัสดุเพื่อเอาไว้ใช้ในกรณีจำเป็นที่มีความต้องการเกิดขึ้นมากกว่าที่เคยเป็นมาก่อน จากตัวอย่างกำหนดให้ต้องมีน้ำมันสำรองไว้ร้อยละ 25 จึงคำนวณได้ตามสูตร
ความต้องการสำรอง = (ความต้องการขั้นต้น + ความต้องการทดแทน)
* อัตราสำรอง
= (2,400 + 156,000) * 0.25
= 39,600 ลิตร
ความต้องการพิเศษ
จำนวนวัสดุตามโครงการหรือหน้าที่ต่าง ๆ ที่ได้รับมอบหมายเป็นพิเศษ
จากตัวอย่าง แผนก ก. เป็นผู้รับผิดชอบในการฝึกอบรม
ความต้องการพิเศษ = หน่วยงานตามโครงการ * อัตราอนุมัติ
= 10 * 200
= 2,000 ลิตร
ความต้องการรวมและความต้องการสุทธิ
ความต้องการรวม คือ ผลรวมของจำนวนความต้องการทุกประเภท
ความต้องการรวม = 2,400 + 156,000 + 39,600 + 26,453 + 2,000
= 226,453 ลิตร
ความต้องการสุทธิ คือ จำนวนความต้องการจริงที่เกิดขึ้นในอนาคต
ความต้องการสุทธิ = ความต้องการรวม– คงคลัง – ค้างรับ + ค้างจ่าย
= 226,453 – 1,000 – 0 + 0
= 225,453 ลิตร
งบประมาณ = ความต้องการสุทธิ * ราคาหน่วยละ
= 225,453 * 30
= 6,763,590 บาท
วิธีการคำนวณความต้องการวัสดุด้วยการคิดตามข้อมูลความต้องการที่ผ่านมา
เป็นวิธีที่ไม่ใช่อัตราอนุมัติเฉพาะการคำนวณหาความต้องการทดแทนเท่านั้น สำหรับความต้องการอื่น ๆ ยังคงคิดจากอัตราอนุมัติ ความต้องการทดแทนคำนวณได้จากการหาค่าเฉลี่ยของความต้องการที่ผ่านมาในช่วงระยะเวลาหนึ่ง
เช่น ปี 2547 = 250,000 ปี 2548 = 240,000 ปี 2549 = 300,000
ปี 2550 = 340,000 ปี 2551 = 260,000
ความต้องการทดแทน = 250,000 + 240,000 + 300,000 + 340,000 + 260,000
= 278,000 ลิตร
วิธีกำหนดความต้องการชิ้นส่วนซ่อม
การกำหนดความต้องการชิ้นส่วนซ่อมมีความยุ่งยากและซับซ้อนกว่าการคิดความต้องการครุภัณฑ์ทั้งนี้เนื่องจากการชิ้นส่วนซ่อมมีจำนวนมากมายหลายรายการ การกำหนดอัตราให้แน่นอนทำได้ยาก เพราะการใช้งานซึ่งเป็นส่วนทำให้เกิดการสึกหรอนั้นต่างกัน ดังนั้น จึงต้องใช้การประมาณการเป็นส่วนใหญ่ ตัวเลขประมาณการต่าง ๆ จะต้องใช้สถิติ ทั้งสถิติจำนวนความต้องการและจำนวนการจ่าย ดังนั้น การรวบรวมข้อมูลจึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างหนึ่งในการวางแผนกำหนดความต้องการชิ้นส่วนซ่อม
การหาความต้องการทั้งปี
1 กำหนดจุดสั่งเพิ่มเติม (reorder point หรือ RP) จุดสั่งเพิ่มเติม หมายถึง ปริมาณพัสดุคงเหลือที่มีอยู่ซึ่งเป็นเวลาที่สมควรจะกระทำการสั่งเพิ่มเติม หรือหมายถึงผลรวมของระดับปลอดภัยและเวลาในสั่งและส่งพัสดุ
(RP = SL + OST)
1.1ระดับปลอดภัย (safety level หรือ SL) หมายถึง ปริมาณพัสดุที่คิดเพิ่มเติมจากระดับปฏิบัติการ เพื่อสนับสนุนให้การปฏิบัติงานเป็นไปอย่างต่อเนื่อง พัสดุที่ใช้วิธีการเพิ่มเติมวิธีนี้คือ พัสดุที่มีอัตราการใช้สิ้นเปลืองที่ไม่คงที่ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่อยู่ในดุลพินิจว่าควรมีพัสดุสำรองไว้ใช้เป็นเวลากี่วัน เช่น จะให้มีพัสดุสำรองพอใช้ได้อีก 10 วัน ดังนั้นระดับปลอดภัย ก็คือ 10 วัน
1.2 ระดับปฏิบัติการ (operating level หรือ OL) หมายถึง ปริมาณพัสดุที่จำเป็นต้องมีไว้เพื่อการปฏิบัติงานอย่างต่อเนื่องภายในระยะเวลาที่กำหนด เช่น องค์การหนึ่งมีนโยบายจะต้องมีพัสดุในคงคลังเก็บให้พอจ่ายเป็นเวลา 2 เดือน หรือ 60 วัน ระดับปฏิบัติการก็คือ 60 วัน
1.3 เวลาในการสั่งและส่งพัสดุ (order and shipped time หรือ OST) หมายถึงระยะเวลานับตั้งแต่ได้ทำการสั่งพัสดุจนถึงวันที่ได้รับพัสดุ เวลาในการสั่งการและส่งพัสดุนี้บางครั้งเรียกว่า ระยะเวลารอคอย (lead time) อาจกล่าวได้ว่าเวลาในการสั่งและส่งพัสดุก็คือจำนวนวันที่ใช้ในการจัดหานั่นเอง ส่วนใหญ่จะใช้ค่าถัวเฉลี่ยของเวลาที่เกิดขึ้นจริงในการปฏิบัติ สมมุติว่าที่เสียไปในการสั่งและส่งก็คือ 15 วัน หมายความว่านับตั้งแต่วันดำเนินการวิเคราะห์จำนวนเพื่อเพิ่มเติมพัสดุและเวลาที่ดำเนินการจัดหาจนถึงวันที่ได้รับพัสดุนั้นเป็นเวลาทั้งสิ้น 15 วัน
2 หาอัตราความสิ้นเปลือง หมายถึง ปริมาณพัสดุซึ่งประมาณว่าจะต้องใช้สิ้นเปลืองในหนึ่งวัน หรือหมายถึง ค่าถัวเฉลี่ยต่อวันของความต้องการทดแทนในช่วงเวลาการควบคุม
อัตราความสิ้นเปลืองคำนวณได้จาก เก็บตัวเลขความต้องการทดแทนทั้งสิ้นในช่วงระยะเวลาควบคุมที่แล้วมาให้ได้ แล้วหาความต้องการเฉลี่ยหรือทุกครั้งที่พัสดุลดลงมาถึงจุดสั่งเพิ่มเติม ซึ่งต้องหาค่าเฉลี่ยออกมาเป็นวัน ซึ่งเรียกว่า “วันจัดสนอง”
2.1 ช่วงเวลาการควบคุม (control period) หมายถึง ระยะเวลาที่กำหนดไว้เป็นจำนวนวันเพื่อใช้เป็นมูลฐานสำหรับการวบรวมความต้องการ เพื่อพิจารณากำหนดการสะสมพัสดุในอนาคต ซึ่งโดยปกติจะเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 2 เท่าของเกณฑ์การสั่ง
2.2 การสั่ง (requisitioning objective หรือ RO) หมายถึง ปริมาณสูงสุดของพัสดุที่สามารถจะสั่งเพื่อสนับสนุนในการปฏิบัติงานเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหมายถึงผลรวมของระดับปฏิบัติการกับจุดสั่งเพิ่มเติม
3. หาระดับพัสดุ ซึ่งหมายถึง ปริมาณพัสดุที่สามารถจะสะสมไว้เพื่อปฏิบัติการในด้านการจัดสนองให้สมบูรณ์และต่อเนื่อง โดยจะต้องพิจารณาและวิเคราะห์ความต้องการและอัตราความสิ้นเปลืองว่ามีความถูกต้องสมควรเพียงใดด้วย
4. คำนวณความต้องการทั้งปี โดยที่ระดับพัสดุที่คำนวณได้ดังสูตรข้างต้นมาจากเกณฑ์สั่งซึ่งเป็นเพียงช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น การคำนวณหาความต้องการทั้งปีจึงต้องคำนึงถึงสัดส่วนของเกณฑ์สั่งต่อระยะเวลา 1 ปีด้วย
5.หาความต้องการพิเศษ
6. คำนวณหาความต้องการ ในการจะคำนวณหาประมาณการงบประมาณนั้นจะต้องคำนวณหาความต้องการสุทธิเสียก่อนโดยต้องรู้ยอดคงคลัง ค้างรับและค้างจ่ายด้วย
อาจารย์ณัฐธิดา ศรีราชยา
การศึกษา
ปริญญาตรี(BS) ภาควิชาวัสดุศาสตร์ สาขาวิทยาศาสตร์พอลิเมอร์และสิ่งทอ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ปริญญาโท (MS)Polymer Science The Pretroleum and Petrochemical College Chulalongkorn University
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น