การจัดมาตรฐานวัสดุ
ความหมายของการจัดมาตรฐาน
มาตรฐาน" หมายถึง "สิ่งที่ถือเอาเป็นหลักสำหรับใช้เทียบกำหนด" เช่น มาตราชั่ง
ตวง วัด
การจัดมาตรฐานวัสดุมีความหมายอย่างกว้าง ๆ คือ การกระทำขั้นสุดท้ายในการคัดแยก เพื่อลดจำนวนวัสดุครุภัณฑ์ที่มีอยู่มากมายหลายชนิด
ให้คงเหลือเท่าที่เหมาะสมที่สุดเท่านั้นและยังครอบคลุมไปถึงกรรมวิธีและวิธีปฏิบัติในการผลิต การจัดหา
เก็บรักษา แจกจ่าย และซ่อมบำรุง
บูรณะรักษาวัสดุครุภัณฑ์เหล่านั้นด้วย
จุดมุ่งหมายในการจัดมาตรฐานวัสดุ
1.เพื่อลดจำนวนรายการวัสดุ ครุภัณฑ์ ที่มีลักษณะการใช้งานที่เหมือนๆ
กันให้มีขนาด (size) ชนิด (kind) แบบ (type)
ให้เหลือน้อยที่สุด
2.เพื่อเป็นการประหยัด ในด้านการเงิน กำลังเจ้าหน้าที่ เวลา ฯลฯ
3.เพื่อให้มีวัสดุ ครุภัณฑ์ ชิ้นส่วนอะไหล่
หรือส่วนประกอบที่สามารถสับเปลี่ยนใช้แทนกันได้มากที่สุดในการบำรุงรักษาวัสดุ
ครุภัณฑ์ให้ใช้งานได้นานที่สุด
4.เกิดความเข้าใจตรงกันระหว่างผู้ผลิตและผู้ใช้
สะดวกและประหยัดเวลาในการติดต่อและซื้อขาย
5.เพื่อส่งเสริมให้เกิดประโยชน์สูงสุดทางด้านเศรษฐกิจของส่วนรวม
และความสะดวกและปลอดภัยในการใช้งาน
วิธีการจัดมาตรฐานวัสดุ
•
การจัดมาตรฐานทางวิชากรรมหรือทางช่าง
(Engineering Standard)
•
การจัดทำมาตรฐานโดยวิธีการกำหนดคุณลักษณะเฉพาะ
(Specification)
วิธีการจัดมาตรฐานวัสดุ
1.การจัดมาตรฐานทางวิชากรรมหรือทางช่าง (Engineering Standard)เป็นการจัดมาตรฐานวัสดุทางเทคนิค
ที่สมาคมผู้ประกอบกิจการอุตสากรรมได้ร่วมกันจัดทำขึ้นเกี่ยวกับ การออกแบบ การใช้วัตถุดิบและกรรมวิธีในการผลิต
ให้บรรดาโรงงานต่างๆ ได้ผลิตพัสดุสำเร็จรูปออกมาได้มาตรฐานเดียวกัน
มาตรฐานที่รู้จักกันแพร่หลายได้แก่
- มาตรฐานของสมาคมวิศวกรรมยานยนต์ (Society of
Automobile Engineers (SAE))
- มาตรฐานของสมาคมทดสอบวัสดุแห่งอเมริกา (American
Society for Testing Material (ASTM))
- มาตรฐานการอุตสาหกรรมแห่งเยอรมนี (Deutsch Industrie Norm (DIN)
มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมที่ในประเทศเรารู้จักและอ้างอิงใช้ ที่ควรทราบมีดังต่อไปนี้
-Thai
Industrial Standard คือ มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมของประเทศไทยเรียกตัวย่อว่า TIS
-American
Standard Testing and Materials คือ
มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมของประเทศสหรัฐอเมริกา เรียกตัวย่อว่า ASTM
-International Standard
Organization คือ มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมนานาชาติ เรียกตัวย่อว่า
ISO
-Japan Industrial
Standard คือ
มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมของประเทศญี่ปุ่น เรียกตัวย่อว่า JIS
-British Standard คือ
คือ
มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมของประเทศอังกฤษ เรียกตัวย่อว่า B.S
มาตรฐานเหล็กอุตสาหกรรม
มี
3 ระบบด้วยกัน คือ
1.
ระบบอเมริกัน ซึ่งนิยมใช้กัน 2
มาตรฐาน คือ AISI
(American Iron and
Steel Insitute)
เป็นมาตรฐานของสถาบันเหล็กและเหล็กกล้าของอเมริกา SAE
(Society of Automotive
Engineer)
เป็นมาตรฐานของ
สมาคมวิศวกรรมยานยนต์
2.ระบบเยอรมัน DIN (Deutsch Industrial
Norms) เป็นมาตรฐานอุตสาหกรรมของเยอรมัน
3.ระบบญี่ปุ่น JIS (Japanese
Industrial Standards) เป็นมาตรฐานอุตสาหกรรมของญี่ปุ่น
. ระบบอเมริกัน
1.ระบบ SAE
(Society of Automotive
Engineer) การกำหนดมาตรฐานของระบบนี้ จะขึ้นต้นด้วย
SAE แล้วตามด้วยตัวเลข4หรือ 5 หลัก
ดัชนีตัวเลข เป็นตัวบอกตัวเลขดังนี้
ตัวเลขหลักที่ 1 เป็นตัว บอกชนิดของเหล็ก ซึ่งมีอยู่
9 ตัวเลข คือ
เลข 1 หมายถึง เหล็กกล้าคาร์บอน
เลข 2 หมายถึง เหล็กกล้านิเกิล
เลข 3 หมายถึง เหล็กกล้าประสมนิเกิลและโครเมียม
เลข 4 หมายถึง เหล็กกล้าประสมโมลิบดินัม
เลข 5 หมายถึง เหล็กกล้าประสมโครเมียม
เลข 6 หมายถึง เหล็กกล้าประสมโครเมียมและวานาเดียม
เลข 7 หมายถึง เหล็กกล้าประสมทังสเตน
เลข 8 หมายถึง เหล็กกล้าประสมนิเกิล
โครเมียมและโมลิบดินัม
เลข 9 หมายถึง เหล็กกล้าประสมซิลิกอนและแมงกะนิส
ตัวเลขหลักที่ 2
เป็นตัว
บอกปริมาณของโลหะประสมชนิดแรก
ตามชนิดของเหล็ก
ยกเว้นเหล็กคาร์บอนซึ่งจะบอกเป็นเปอร์เซ็นต์ ตัวเลขหลักที่เหลือ จะเป็นตัวเลขซึ่ง บอกจำนวนเปอร์เซ็นต์ของคาร์บอน
มี 3 หลัก ในกรณีที่ตัวเลขทั้งหมดมี 5
หลัก
มี 2 หลัก ในกรณีที่ตัวเลขทั้งหมดมี 4
หลัก
ตัวเลขหลักที่เหลือนี้จะ
ต้องหารด้วย 100 เสมอ เช่น SAE 4320
หมายความว่า - เป็นมาตรฐานเหล็กระบบ SAE
-เป็นเหล็กกล้าประสมโมลิบดินัม
-เป็นเหล็กกล้าประสมโมลิบดินัม
-โมลิบดินัม 3
-มีคาร์บอน
20/100 =0.2%
SAE 1035 หมายความว่า - เป็นมาตรฐานเหล็กระบบ SAE เป็นเหล็กกล้าคาร์บอน มีคาร์บอน
35/100 =0.35%
SAE 52100 หมายความว่า -
เป็นมาตรฐานเหล็กระบบ
SAE เป็นเหล็กกล้าประสมโครเมียม มีโครเมียม 2% มีคาร์บอน 100/100 =
1%
2.ระบบ AISI (American
Iron and Steel
Institute)
การกำหนดมาตรฐานระบบนี้
ตัวเลขดัชนีจะมีจำนวนหลักและตัวชี้บอกส่วนประสมจะเหมือนกับระบบSAE จะแตกต่างที่ระบบ AISI
จะมีตัวอักษรนำหน้าตัวเลข
ซึ่งตัวอักษรนี้ จะบอกถึงกรรมวิธีการผลิตเหล็กว่าได้ผลิตมาจากเตาชนิดใด
ตัวอักษรที่บอกกรรมวิธีผลิตเหล็กจะมีดังนี้
A คือ เหล็กประสมที่ผลิตจากเตา Bassemer ชนิดที่เป็นด่าง
B คือ เหล็กประสมที่ผลิตจากเตา Bassemer ชนิดที่เป็นกรด
C คือ เหล็กที่ผลิตจากเตา Open
Hearth ชนิดที่เป็นด่าง
D คือ เหล็กที่ผลิตจากเตา Open
Hearth ชนิดที่เป็นกรด
E คือ เหล็กที่ผลิตจากเตา Electric Furnace
ตัวอย่าง
AISI E 3310
หมายความว่า - เป็นเหล็กมาตรฐานระบบ AISI
เป็นเหล็กกล้าที่ผลิตจากเตาไฟฟ้าเป็นเหล็กกล้าประสมนิเกิลและโครเมียม
มีนิเกิล 3% และโครเมียมประสมอยู่เล็กน้อย มีคาร์บอน 10/100
= 0.1%
การแบ่งกลุ่มเหล็กตามลักษณะของกรรมวิธีการชุบแข็ง
ชื่อกลุ่ม สัญญลักษณ์
กลุ่มที่ชุบแข็งด้วยน้ำ w
กลุ่มที๋ทนต่อแรงกระแทก
S
กลุ่มที่ชุบแข็งด้วยน้ำมัน
O
กลุ่มที่ผลิตโดยกรรมวิธีแปรรูปเย็น(Cold Working)
สำหรับเหล็กกล้าคาร์บอนปานกลางและชุบแข็งโดยปล่อย A
ให้เย็นตัวในอากาศ
กลุ่มเหล็กกล้าที่ผลิตโดยกรรมวิธีแปรรูปเย็น D
สำหรับเหล็กกล้าคาร์บอนสูงและเหล็กกล้าประสมโครเมียมสูง
กลุ่มเหล็กที่ผลิตโดยกรรมวิธีแปรรูปร้อน(Hot Workin) H
กลุ่มเหล็กรอบสูง(High
Speed Steel) T
กลุ่มเหล็กกล้าคุณสมบัติพิเศษ(มีคาร์บอนและทังสเตนเป็นหลัก) F
กลุ่มเหล็กทำแม่พิมพ์
P
ตัวอย่างและการใช้งาน
W5 เป็นเหล็กกล้าที่ชุบด้วยน้ำ มีส่วนประสม
1.1%C,0.5 % Cr ใช้ทำตัวประทับตราหรือเครื่องหมายบนโลหะ
S2 เป็นเหล็กกล้ากลุ่มที่ทนต่อแรงกระแทก มีส่วนประสม
0.29 % C, 0.5% Mo,
1.0% Si
ใช้ทำตัวสกัดลม สกัดที่ต้องทนต่อแรงกระแทก
O2 เป็นเหล็กกล้ากลุ่มที่ชุบแข็งด้วยน้ำมัน มีส่วนประสม
0.9% C, 1.6%
Mn ใช้ทำแม่พิมพ์ (Die and Punches) ทำลูกกรีดเย็น ทำดอกตัดเกลียวนอกและดอกเกลียวใน (Tap and Die)
T2 เป็นเหล็กกลุ่มเหล็กกล้าร้อนสูง (High Speed Steel) โดยมีทังสเตนเป็นส่วนประสมหลัก มีส่วนประสม
0.8% C, 18%
W, 4% Cr,
2% V ใช้เป็นเครื่องมือตัดบนเครื่องกลึง
P3 เป็นกลุ่มเหล็กกล้าสำหรับทำแม่พิมพ์ มีส่วนประสม
0.1% C, 0.6%
Cr, 1.25% Ni ใช้ทำแม่พิมพ์ฉีดพลาสติก
ระบบเยอรมัน
การจำแนกประเภทของเหล็กตามมาตรฐานของเยอรมัน จะแบ่งเหล็กออกเป็น 4
ประเภท ดังนี้
-เหล็กกล้าคาร์บอน
-
เหล็กกล้าผสมต่ำ
-
เหล็กกล้าผสมสูง
-เหล็กหล่อ
ระบบญี่ปุ่น
จะแบ่งเหล็กตามลักษณะงานที่ใช้
อักษรชุดแรก จะมีคำว่า JIS หมายวามถึง Japanese Industrial Standard อักษรสัญลักษณ์ตัวถัดมา
จะมีได้หลายตัว
ซึ่งแต่ละตัวหมายถึง
การจัดกลุ่มผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น
A งานวิศวกรรมก่อสร้างและงานสถาปัตย์ K งานวิศวกรรมเคมี
B งานวิศวกรรมเครื่องกล L งานวิศวกรรมสิ่งทอ
C งานวิศวกรรมไฟฟ้า M แร่
D งานวิศวกรรมรถยนต์ P กระดาษและเยื่อกระดาษ
E งานวิศวกรรมรถไฟ R เซรามิก
F งานก่อสร้างเรือ S สินค้าที่ใช้ภายในบ้าน
G โลหะประเภทเหล็กและโลหะวิทยา T
ยา
H โลหะที่มิใช่เหล็ก W การบิน
Z งานบรรจุหีบห่อ งานเชื่อม
กัมมันตภาพรังสี
ถัดจากอักษรจะเป็นตัวเลขซึ่งมีอยู่ด้วยกัน 4
ตัว
มีความหมายดังนี้ ตัวเลขตัวแรก
หมายถึง กลุ่มประเภทของเหล็ก เช่น
0 เรื่องทั่ว ๆ ไป การทดสอบและกฏต่าง ๆ
1 วิธีวิเคราะห์
2 วัตถุดิบ เหล็ก
ธาตุประสม
3 เหล็กคาร์บอน
4 เหล็กประสม
9 เบ็ดเตล็ดและคำแนะนำ
ตัวเลขตัวที่ 2
จะเป็นตัวแยกประเภทของวัสดุในกลุ่มนั้น เช่น
ถ้าในกรณีเหล็ก จะมีดังนี้
1 เหล็กกล้าประสมนิเกิลและโครเมียม
2 เหล็กกล้าประสมอลูมิเนียมและโครเมียม
3 เหล็กไร้สนิม
4 เหล็กเครื่องมือ
8 เหล็กสปริง
9 เหล็กกล้าทนการกัดกร่อนและความร้อน
เลขที่เหลือ 2
หลักสุดท้ายจะเป็นตัวแยกชนิดของส่วนผสมที่มีอยู่ในวัสดุนั้น เช่น
01 เหล็กเครื่องมือ คาร์บอน
03 เหล็กไฮสปีด
04 เหล็กเครื่องมือผสม
ตัวอย่าง JIS G 4102 หมายถึง
เหล็กประสมที่มีส่วนผสมของนิเกิลและโครเมียม
2. การจัดทำมาตรฐานโดยวิธีการกำหนดคุณลักษณะเฉพาะ (Specification)
เป็นการจัดให้ วัสดุ ครุภัณฑ์ ตรงตามลักษณะพึงประสงค์ของผู้ใช้
ในสหรัฐอเมริกา แบ่งเป็น 2 ชนิดคือ
2.1
ข้อกำหนดคุณลักษณะเฉพาะทางราชการทหาร (Military
specification) ใช้สำหรับการจัดหาวัสดุ ครุภัณฑ์
และยุทโธปกรณ์ที่ใช้ในราชการทหาร เช่น รถสงคราม ยานเกราะ ปืน เรืองรบ อาวุธ
เสื้อผ้า ฯลฯ
2.2
ข้อกำหนดคุณลักษณะเฉพาะของรัฐบาลกลาง (Federal
Specification) เป็นข้อกำหนดคุณลักษณะเฉพาะในการจัดหาพัสดุทั่วไปที่เหมือนกันทั้งทางทหารและพลเรือน
ซึ่งรัฐบาลสหรัฐอเมริกาโดย General Service Administration (G.S.A.) เป็นผู้กำหนด
ขั้นตอนต่าง
ๆ ในการจัดมาตรฐานวัสดุ
1.การจัดหน่วยงานจัดมาตรฐาน หมายถึง
การจัดตั้งหน่วยงานขึ้นใหม่หรือมอบหมายให้หน่วยงานหนึ่งเป็นผู้อำนวยการ
2. การสำรวจรายการวัสดุ
เพื่อรวบรวมรายการวัสดุทั้งหมดที่ใช้ในหน่วยงานคุณลักษณะที่จะเป็นในขั้นแรก เช่น
รูปร่าง สี ขนาดคุณสมบัติ
และประโยชน์ใช้งาน ฯลฯ
แล้วจำแนกรายการวัสดุเป็นพวกๆ วัสดุแต่ละรายการจะต้องกำหนดที่ใช้และประโยชน์ใช้สอย
3.งานขั้นต่อไป คือ การศึกษาวิเคราะห์หรือการเปรียบเทียบวัสดุ ซึ่งจำแนกอยู่ในประเภทเดียวกัน อาจจะทำได้หลายวิธี คือ
3.1 การศึกษาวิเคราะห์อย่างง่าย (Simplification
studies) โดยการเปรียบเทียบประสิทธิภาพคุณภาพของวัสดุที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันในประเภทนั้น
ๆ โดยจัดแบ่งออกเป็น 3 จำพวก คือ
3.1.1 วัสดุมาตรฐาน (Standard
item) เป็นวัสดุที่มีคุณภาพเหมาะสมใช้ได้ดีที่สุด
อนุญาตให้ใช้เป็นมาตรฐานในการจัดหาและแจกจ่ายวัสดุเพื่อใช้งานตลอดไป
3.1.2 วัสดุมาตรฐานจำกัด (Limited
standard item) เป็นวัสดุที่มีคุณภาพด้อยกว่าวัสดุมาตรฐานจำพวกแรก
อนุญาตให้จัดหามาใช้ตามความจำเป็นเป็นครั้งคราว ตามที่ได้รับอนุมัติเป็นกรณีพิเศษเท่านั้น
3.1.3 วัสดุไม่เข้ามาตรฐาน (Nonstandard
item) พัสดุจำพวกนี้ไม่อนุญาตให้จัดหามาใช้งาน ถ้ามีอยู่ในคลังพัสดุแล้วก็ให้ใช้เท่าที่มีอยู่จนหมดไป แล้วจึงจัดหาวัสดุจำพวกมาตรฐานเข้ามาแทน
3.2 การศึกษาวิเคราะห์ทางเทคนิค (
technical analysis studies ) เป็นการศึกษาวิเคราะห์ที่คล้ายคลึงกับวิธีแรก
แต่เพิ่มความละเอียดลึกซึ้งกว่าเกี่ยวกับทางเทคนิค
3.3 การศึกษาวิเคราะห์ทางเทคนิคการปฏิบัติทางช่าง
(Engineering practices studies) เป็นการศึกษาวิเคราะห์เพื่อพิสูจน์สมรรถนะ ขีดความสามารถ
4. การกำหนดคุณลักษณะของรายการวัสดุที่เป็นมาตรฐาน
ไว้อย่างชัดเจนรวมทั้งวัตถุประสงค์ที่จะนำไปใช้สอยได้โดยอาจกำหนดเป็นรายละเอียดของวัสดุแต่ละประเภท
และแต่ละรายการจะแยกจากกันหรืออีกวิธีหนึ่งคือรวบรวมเป็นเล่มเดียวกันในรูปสมุดคู่มือรายการวัสดุ
(catalog) ซึ่งประกอบด้วยการบัญญัติชื่อ การบรรยายลักษณะอย่างย่อ ๆ
การจำแนกประเภทตามการใช้งาน
และการกำหนดหมายเลขลำดับ (serial number) ทั้งนี้เพื่อความสะดวกในการค้นหา
5. การกำหนดรายการวัสดุที่เป็นมาตรฐาน
เมื่อได้ดำเนินการข้างต้นแล้วก็อาจจะได้รายการวัสดุที่กำหนดหรือปรับปรุงให้ดีขึ้นจนเป็นมาตรฐานรายการวัสดุ
6.
จัดตั้งองค์กรควบคุมการใช้มาตรฐานวัสดุ
ขั้นสุดท้ายคือ
ควรมีการตั้งองค์กรซึ่งอาจเป็นรูปของคณะกรรมการสำหรับควบคุมดูแลมาตรฐานวัสดุโดยเฉพาะ
ประโยชน์ของการจัดมาตรฐานวัสดุ
1.ทำให้เกิดการตกลงร่วมกันของบุคคลหลายฝ่ายที่เกี่ยวข้อง
นิยามศัพท์ให้เกิดความเข้าใจตรงกัน ทำให้ประหยัดเวลาในการเจรจา ติดต่อ
2.ทำให้เกิดความประหยัด ทำให้เกิดความสะดวก ประหยัดค่าใช้จ่ายและเวลาในการจัดหา
นอกจากนี้พัสดุที่เป็นมาตรฐานยังทำให้เกิดความชำนาญในการผลิต และการจัดหา
สะดวกต่อการบรรจุหีบห่อ
3.ทำให้เกิดประโยชน์ในด้านการบำรุงรักษา
สามารถทดแทนหรือสับเปลี่ยนชิ้นส่วนซ่อมหรือวัสดุทดแทนต่างๆ ได้
4.ทำให้เกิดชื่อเสียงความนิยมและเชื่อถือและเกิดความปลอดภัยในการใช้
การกำหนดหมายเลขวัสดุ
การกำหนดหมายเลขพัสดุมีวิธีการแตกต่างกันไปตามลักษณะและขนาดของธุรกิจหรือองค์การ
ซึ่งจะต้องออกแบบตามความต้องการและประโยชน์การใช้งานของกิจการนั้น ๆ โดยเน้นให้เกิดความสะดวกและสามารถเข้าใจได้ง่าย
1.ในขั้นการเตรียมการขั้นแรก การเก็บข้อมูลรายการวัสดุที่มีอยู่ให้สมบูรณ์ที่สุด
1.1 เขียนรายละเอียดวัสดุแต่ละชนิด เช่น ยี่ห้อ
รูปร่าง ขนาด ความสามารถในการทำงาน ราคาต่อหน่วย
หน่วยใช้ คุณลักษณะเฉพาะ
จุดประสงค์ในการใช้
ความสามารถในการปฏิบัติงาน
และข้อมูลที่จำเป็นเกี่ยวกับความปลอดภัย
อาจแสดงรูปไว้ด้วยถ้าทำได้
1.2 สำหรับรายการครุภัณฑ์
ควรตรวจสอบความสมบูรณ์ของข้อมูล
โดยเปรียบเทียบรายการในแบบพิมพ์ที่ได้กับรายงานครุภัณฑ์ประจำปีของหน่วยงานเป็นประเภท
ๆ ไป
ทั้งนี้เพื่อประโยชน์ในการควบคุมในภายหลัง
1.3
การกำหนดหมายเลขหรือรหัสของวัสดุจะกระทำได้หลังจากเปรียบเทียบ แบบพิมพ์กับรายงานประจำปีตรงกันแล้ว ให้แยกแบบพิมพ์ที่ตรวจแล้วไว้ต่างหาก เพื่อให้หมายเลขครุภัณฑ์ต่อไป
ส่วนที่เหลือต้องพยายามหาวิธีการตรวจว่าสูญหายหรือจำหน่ายออกไปแล้วแต่ยังมิได้หักออกจากบัญชีครุภัณฑ์
2.
การให้หมายเลข เริ่มด้วยการกำหนดจำนวนตัวเลขที่จะประกอบกันเป็นหมายเลขหรือรหัสของวัสดุแต่ละรายการ ซึ่งทั้งนี้ขึ้นอยู่กับจำนวนวัสดุที่จะควบคุม ในองค์การขนาดใหญ่มักใช้ไม่ต่ำกว่า 10 หลัก สำหรับวัสดุประเภททั่วไปโดยแบ่งกลุ่มของหมายเลขออกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนแรกมี 4 หลัก ใช้แทนประเภทและกลุ่มของประเภทวัสดุ ให้เลข 2 หลักแรก หมายถึงประเภท
(class) หรือกลุ่ม (group) ของวัสดุ ส่วนเลข 2 หลักหลัง เป็นกลุ่มย่อย
หรือ ประเภทย่อย (subgroup หรือ subclass) ที่ขยายกลุ่มใหญ่ เพื่อให้ของใช้งานประเภทเดียวกันอยู่ในหมวดหมู่เดียวกัน
ส่วนที่ 2 มี 6
หลักใช้แทนลำดับที่ (serial number) คือหมายเลขเรียงลำดับตามวัสดุที่นำมาสำรองในคลัง
ประโยชน์การกำหนดหมายเลขวัสดุ
1.หมายเลขวัสดุเป็นสื่อกลางและสื่อความหมายได้ตรงกันทุกฝ่าย
2.ลดความสิ้นเปลืองทั้งด้านเอกสาร และเวลาในการติดต่อ
3.เป็นประโยชน์ในด้านการควบคุมวัสดุทางบัญชี
4.เป็นประโยชน์ในการบริหารการเก็บรักษาในคลังวัสดุ
สามารถระบุสถานที่จัดเก็บและค้นหา โยกย้าย ได้รวดเร็วขึ้น
5.เปิดทางให้มีการนำคอมพิวเตอร์เข้ามาช่วยทำงานด้านวัสดุได้
ขอบคุณข้อมูลเพื่อการศึกษา
อาจารย์ณัฐธิดา ศรีราชยา
การศึกษา
ปริญญาตรี(BS) ภาควิชาวัสดุศาสตร์ สาขาวิทยาศาสตร์พอลิเมอร์และสิ่งทอ คณะวิทยาศาสตร์
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ปริญญาโท
(MS)Polymer Science The Pretroleum and Petrochemical
College Chulalongkorn University
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น